ประวัติการเล่นอาชีพ ของ นอวาก จอกอวิช

ปี 2003-2005: เริ่มต้นอาชีพ

จอกอวิชเริ่มเล่นอาชีพอย่างเป็นทางการในปี 2003 ในช่วงที่เฟเดอเรอร์และนาดัลเริ่มสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในการแข่งขันรายการต่างๆ ในช่วงเริ่มต้นอาชีพของเขา จอกอวิชลงเล่นในการแข่งขันประเภท Challenger (รายการสำหรับมือสมัครเล่น) เป็นหลัก โดยคว้าแชมป์ได้ 3 สมัย ในการแข่งขันแต่ละประเภทตั้งแต่ปี 2003 ถึง 2005 รายการระดับทัวร์ครั้งแรกของเขาคือ Umag ในปี 2004 ที่ประเทศโครเอเชีย ซึ่งเขาตกรอบ 32 คนสุดท้าย

ปี 2006: แชมป์แรกในอาชีพ

จอกอวิชทำอันดับขึ้นสู่อันดับที่ 40 ของโลกหลังผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศครั้งแรกในรายการแกรนด์สแลมที่เฟรนช์โอเพน และ เข้าถึงรอบ 4 ที่วิมเบิลดันในปีนี้ สามสัปดาห์หลังจากการแข่งขันวิมเบิลดัน จอกอวิชคว้าแชมป์เอทีพีครั้งแรกในชีวิตในรายการดัตช์โอเพ่นที่เมืองอาเมอร์สฟูร์ต ประเทศเนเธอร์แลนด์[39] โดยไม่เสียเซตเลยตลอดการแข่งขันและเอาชนะ นิโคลัส มัซซู ได้ในรอบชิงชนะเลิศ เขาคว้าแชมป์อาชีพรายการที่สองของที่โมเซลโอเพ่นในประเทศฝรั่งเศส และ ก้าวเข้าสู่ 20 อันดับแรกของโลกในวัย 19 ปี

ปี 2007: ขึ้นสู่มือวางอันดับ 3 ของโลก

จอกอวิชแพ้ให้กับเฟเดอเรอร์ในรอบ 4 ของแกรนด์สแลมออสเตรเลียนโอเพน ก่อนจะคว้าแชมป์รายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 รายการแรกในอาชีพที่ไมอามี และ เขาเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแกรนด์สแลมได้เป็นครั้งแรกในการแข่งขันเฟรนช์โอเพนก่อนจะแพ้ให้กับนาดัล[40] จอกอวิชคว้าแชมป์เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 รายการที่สองในการแข่งขันแคนาเดียนโอเพน ณ เมืองมอนทรีออลและทำสถิติเป็นผู้เล่นคนที่สองต่อจาก โทมัส เบอร์ดิช ที่สามารถเอาชนะได้ทั้งเฟเดอเรอร์และนาดัลนับตั้งแต่ที่ทั้งสองคนก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสองอันดับแรกของโลก

ปี 2008: แชมป์แกรนด์สแลมสมัยแรก

ในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนแกรนด์สแลมแรกของปี จอกอวิชชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมได้เป็นครั้งแรก[41] เอาชนะ โจ-วิลฟรีด ซองกา จากฝรั่งเศสไป 3-1 เซ็ต และ จอกอวิชถือเป็นผู้เล่นชาวเซอร์เบียคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ จอกอวิชชนะเลิศรายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้อีกสองรายการที่อินเดียนเวลส์และกรุงโรม ก่อนจะตกรอบรองชนะเลิศที่เฟรนช์โอเพน และ ตกรอบที่สองในรายการวิมเบิลดัน โดยในปีนี้เขาสามารถคว้าเหรียญทองแดงได้ในการแข่งขันกีฬาโอลิปิกฤดูร้อนที่กรุงปักกิ่ง ก่อนจะแพ้ให้กับเฟเดอเรอร์ในรอบรองชนะเลิศยูเอสโอเพน จอกอวิชสามารถจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ได้เป็นสมัยแรก โดยเอาชนะ นิโคไล ดาวิเดนโก จากรัสเซียในรอบชิงชนะเลิศ[42]

ปี 2009: คว้าแชมป์ 5 รายการ

จอกอวิชไม่สามารถป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้ในปีนี้ โดยเขาขอยอมแพ้ในรอบ 8 คนสุดท้ายในขณะแข่งขันกับแอนดี ร็อดดิก เนื่องจากอาการฮีทสโตรก แต่เขาสามารถคว้าแชมป์แรกของปีได้ในรายการที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เอาชนะดาบิด เฟร์เรร์ได้ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะคว้าแชมป์รายการที่สองของปี ได้ในการแข่งขันที่ประเทศเซอร์เบียบ้านเกิด ในการแข่งขันเฟรนช์โอเพน จอกอวิชตกรอบที่ 3 โดยแพ้ให้กับ ฟิลิปป์ โคห์ลชไรเบอร์ จากเยอรมนี และ ตกรอบในการแข่งขันวิมเบิลดันโดยแพ้ให้กับทอมมี แฮส ก่อนจะตกรอบยูเอสโอเพนโดยแพ้ให้กับเฟเดอเรอร์ จอกอวิชคว้าแชมป์ที่สามของปีในรายการไชน่า โอเพน ที่ประเทศจีน ตามด้วยแชมป์รายการที่ 4 ในการแข่งขันในร่มที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และ เขาปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้ที่กรุงปารีส จอกอวิชครองตำแหน่งมือวางอันดับ 3 ของโลกในปีนี้

ปี 2010: แชมป์เดวิสคัพ และ ขึ้นสู่มือวางอันดับ 2 ของโลก

จอกอวิชในการแข่งขันยูเอสโอเพนปี 2010

ในปีนี้จอกอวิชเริ่มต้นฤดูกาลด้วยการตกรอบ 8 คนสุดท้ายออสเตรเลียนโอเพน แต่เขาสะสมคะแนนมากพอในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 2 ของโลกเป็นครั้งแรกในอาชีพ เขาคว้าแชมป์แรกของปีในการแข่งขันที่ดูไบ เขาพาทีมชาติเซอร์เบียผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในรายการเดวิสคัพได้เป็นครั้งแรกโดยเอาชนะสหรัฐอเมริกาไปได้ 3-2 นัด ก่อนที่เขาจะตกรอบ 8 คนสุดท้ายในการแข่งขันเฟรนช์โอเพน แพ้ให้กับ เยอร์กิน เมลเซอร์ จากออสเตรีย ตามด้วยการแพ้ให้กับโทมัส เบอร์ดิชในรอบรองชนะเลิศวิมเบิลดัน ในรายการยูเอสโอเพน จอกอวิชสามารถเอาชนะเฟเดอเรอร์ได้เป็นครั้งแรกในรายการนี้จากการพบกัน 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะเข้าไปแพ้ให้กับนาดัลในรอบชิงชนะเลิศ จอกอวิชพาทีมเซอร์เบียเอาชนะสาธารณรัฐเช็กในรอบรองชนะเลิศเดวิสคัพได้ในเดือนต่อมา ก่อนจะกลับไปป้องกันแชมป์รายการมาสเตอร์ที่ ไชน่า โอเพน ได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน เขาสามารถพาทีมเดวิสคัพของเซอร์เบียคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยแรกโดยเอาชนะฝรั่งเศสไในรอบชิงชนะเลิศ[43][44]

ปี 2011: แชมป์แกรนด์สแลม 3 รายการและขึ้นสู่มือวางอันดับ 1 ของโลก

ในปีนี้ถือเป็นปีที่ดีที่สุดของจอกอวิชนับตั้งแต่เล่นอาชีพมาอย่างแท้จริง[45] โดยเขาคว้าตำแหน่งชนะเลิศไปถึง 10 รายการ รวมทั้งการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ถึงสามรายการ ในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพน, วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน โดยเอาชนะแอนดี มาร์รีย์ ในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพน และ เอาชนะราฟาเอล นาดัล คู่แข่งคนสำคัญได้ในรอบชิงชนะเลิศวิมเบิลดันและยูเอสโอเพน[46] นอกจากนี้เขายังคว้าแชมป์ในรายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้ถึง 5 รายการในปีนี้ รวมทั้งทำสถิติทำเงินรางวัลรวมจากการแข่งขันได้มากที่สุดในปีเดียว (สถิติในขณะนั้น) จำนวน 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาจบฤดูกาลด้วยการคว้าชัยชนะได้ถึง 70 นัดจากทุกรายการรวมทั้งจบฤดูกาลด้วยการครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรก

ปี 2012: แชมป์ออสเตรเลียนโอเพนสมัยที่ 3

จอกอวิชป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนเอาไว้ได้สำเร็จ โดยเอาชนะนาดัลได้ในรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขันมาราธอน 5 เซ็ต ซึ่งใช้เวลาแข่งขันกันยาวนานถึง 5 ชั่วโมง 53 นาที ถือเป็นรอบชิงชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์[47] และ เป็นแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 5 ของจอกอวิช ก่อนที่เขาจะไปป้องกันแชมป์รายการเทพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ที่ไมอามีได้สำเร็จ แต่จอกอวิชไม่สามารถคว้าแชมป์เฟรนช์โอเพนและวิมเบิลดันได้ โดยแพ้ให้กับนาดัลและเฟเดอเรอร์ในรอบชิงชนะเลิศทั้งตามลำดับ จอกอวิชได้รับเกียรติให้เป็นผู้ถือธงชาติเซอร์เบียในพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ณ กรุงลอนดอน แต่เขาทำได้เพียงอันดับที่ 4 โดยแพ้ให้กับแอนดี มาร์รีย์ในรอบรองชนะเลิศ และแพ้ ฆวน มาร์ติน เดล ปอร์โต ในรอบชิงเหรียญทองแดง ในแกรนด์สแลมยูเอสโอเพนซึ่งเป็นรายการสุดท้ายของปี จอกอวิชก็ไม่สามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ โดยแพ้ให้กับมาร์รีย์ในการแข่งขัน 5 เซ็ต เขาปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ได้เป็นสมัยที่ 2 และ ครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลก[48]

ปี 2013: แชมป์ออสเตรเลียนโอเพนสมัยที่ 4

ในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนในปีนี้ จอกอวิชสามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้โดยเอาชนะมาร์รีย์ในรอบชิงขนะเลิศ คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 5 ตามด้วยการคว้าแชมป์เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 500 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ในเดือนมีนาคม ก่อนจะแพ้ให้กับ ฆวน มาร์ติน เดล ปอร์โต ในรอบรองชนะเลิศรายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ที่อินเดียนเวลส์ ซึ่งเป็นการหยุดสถิติชนะรวดติดต่อกันทุกรายการจำนวน 22 นัดของตนเองลง ต่อมาในเดือนเมษายนเขาเอาชนะนาดัลได้ในรอบชิงชนะเลิศรายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ที่ มงเต-การ์โล คว้าแชมป์ได้เป็นสมัยแรก แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการลงแข่งขันในคอร์ตสามรายการใหญ่ที่เหลือทั้งที่กรุงมาดริด, กรุงโรม และ แกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพน จอกอวิชผ่านเข้าชิงชนะเลิศที่วิมเบิลดันได้ก่อนจะแพ้ให้กับมาร์รีย์รวมทั้งแพ้นาดัลในรอบชิงชนะเลิศยูเอสโอเพน ก่อนจะคว้าแชมป์ในรายการที่ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 500 ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน ได้เป็นสมัยที่ 4 จอกอวิชปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 รายการที่ 16 ในอาชีพที่ปารีส และ คว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล เป็นสมัยที่สาม และ บอริส เบกเคอร์ ตำนานผู้เล่นชาวเยอรมัน จะเข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนให้แก่จอกอวิชนับตั้งแต่ฤดูกาล 2014 เป็นต้นไป[49]

ปี 2014: แชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 2

จอกอวิชไม่สามารถป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนเอาไว้ได้ โดยเขาแพ้ให้กับสแตน วารินก้า ในรอบ 8 คนสุดท้าย เป็นการหยุดสถิติชนะติดต่อกัน 25 นัดในรายการนี้ของจอกอวิช ก่อนที่เขาจะคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้สามรายการได้ที่อินเดียนเวลส์, ไมอามี และ กรุงโรม โดยเอาชนะเฟเดอเรอร์ได้ในการแข่งขันที่อินเดียนเวลส์ และ ชนะ นาดัลในรอบชิงชนะเลิศที่ไมอามีและกรุงโรมตามลำดับ โดยหลังจบการแข่งชันจอกอวิชได้บริจาคเงินรางวัลที่ได้จากการคว้าแชมป์จำนวน 5 แสนดอลลาร์เพื่อมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยในทวีปยุโรป[50] จอกอวิชผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเฟรนช์โอเพนได้สำเร็จก่อนที่จะแพ้ให้กับนาดัลไปอีกครั้ง และ เขาสามารถคว้าแชมป์วิมเบิลดันได้ในปีนี้โดยเอาชนะเฟเดอเรอร์ในการแข่งขัน 5 เซ็ต ก่อนที่จะตกรอบรองชนะเลิศรายการยูเอสโอเพน จอกอวิชสามารถคว้าแชมป์ในรายการที่ปักกิ่งได้เป็นสมัยที่ 5 ในรอบ 6 ปี โดยเอาชนะโทมัช เบอร์ดิช ได้ในรอบชิงชนะเลิศ จอกอวิชปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ได้เป็นสมัยที่ 4 หลังจากที่เฟเดอเรอร์ได้ขอถอนตัวในรอบชิงชนะเลิศเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บบริเวณหลัง[51][52]

ปี 2015: หนึ่งในฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทนนิส

จอกอวิชในการแข่งขันวิมเบิลดันปี 2015 ซึ่งถือเป็นปีที่ดีที่สุดในอาชีพของเขา

ในปี 2015 นี้ถือเป็นปีที่จอกอวิชประสบความสำเร็จสูงที่สุดในอาชีพอีกครั้ง[53] (ซึ่งแฟนๆและสื่อต่างเปรียบเทียบความสำเร็จในฤดูกาลนี้กับฤดูกาล 2011)[54] เขาสามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ถึงสามรายการได้แก่ ออสเตรเลียนโอเพน (เอาชนะมาร์รีย์ในรอบชิงชนะเลิศ), วิมเบิลดัน และ ยูเอสโอเพน (เอาชนะเฟเดอเรอร์ได้ในรอบชิงชนะเลิศทั้งสองรายการ) รวมถึงการคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้ถึง 6 รายการในปีเดียวซึ่งถือเป็นสถิติสูงที่สุดตลอดกาลของเอทีพี ทัวร์[55] เขายังสามารถป้องกันแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล ได้สำเร็จโดยเอาชนะเฟเดอเรอร์ได้ในรอบชิงชนะเลิศ และ ทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกที่ชนะเลิศรายการดังกล่าว 4 สมัยติดต่อกัน (ปี 2012-2015) โดยในปีนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ดีที่สุดเท่าที่นักเทนนิสชายเคยทำได้[56] โดยจอกอวิชทำเงินรางวัลรวมในปีนี้สูงถึง 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ทำสถิติคว้าแชมป์ได้ 11 รายการภายในปีเดียว และ เป็นผู้เล่นคนที่สามในประวัติศาสตร์ที่สามารถเข้าชิงชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมได้ทั้ง 4 รายการภายในปีเดียวกัน (ต่อจาก ร็อด เลเวอร์ และ โรเจอร์เฟเดอเรอร์) อย่างไรก็ตามจอกอวิชพลาดทำสถิติใหม่ในการคว้าแชมป์เฟรนช์โอเพนได้เป็นสมัยแรกอย่างน่าเสียดาย โดยเขาต้องผิดหวังในรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งโดยแพ้ให้กับสแตน วารินก้า ไปในการแข่งขัน 4 เซ็ต ซึ่งวารินก้าถือเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวจนถึงปัจจุบันนอกเหนือจาก เฟเดอเรอร์, นาดัล และ มาร์รีย์ สามยอดผู้เล่นระดับโลกในกลุ่ม Big 4 ที่สามารถเอาชนะจอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมได้

ปี 2016: Career Grand Slam

จอกอวิชคว้าแชมป์รายการที่ 60 ในอาชีพโดยเอาชนะนาดัลได้ในรอบชิงชนะเลิศรายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 500 ที่โดฮา ประเทศกาตาร์ ก่อนจะสามารถป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้อีกครั้งโดยเอาชนะมาร์รีย์ในรอบชิงชนะเลิศไปได้อีกครั้ง และ เป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ในรายการนี้ของจอกอวิช ในช่วงเวลานี้จอกอวิชทำคะแนนในการจัดอันดับโลกทิ้งห่างผู้เล่นอย่างนาดัล, มาร์รีย์ รวมถึง เฟเดอเรอร์หลายพันคะแนนด้วยกัน เขายังคว้าแชมป์รายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้ทั้งสองรายการที่อินเดียน เวลส์ และ ไมอามี โดยเป็นปีที่สามติดต่อกันที่เขาสามารถคว้าแชมป์รายการดังกล่าวได้ทั้งสองรายการ และ เขายังสามารถคว้าแชมป์ในรายการที่มาดริดในการเล่นคอร์ตดินได้เช่นกัน โดยเอาชนะมาร์รีย์ได้ในรอบชิงชนะเลิศ

จอกอวิชคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพนได้เป็นสมัยแรกในชีวิตในปี 2016 พร้อมทั้งทำสถิติเป็นผู้เล่นชายคนที่ 8 ที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการ

ในการแข่งขันเฟรนช์โอเพน จอกอวิชประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยแรกและสามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการในอาชีพ (Career Grand Slam) ได้สำเร็จ[57] หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศเฟรนช์โอเพนทั้ง 3 ครั้งก่อนหน้านี้ และ จอกอวิชถือเป็นผู้เล่นชายคนที่ 8 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำ Career Grand Slam ได้ โดยเขาเอาชนะมาร์รีย์ได้ในรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขัน 4 เซ็ต อย่างไรก็ตามจอกอวิชต้องตกรอบที่ 3 ในการแข่งขันวิมเบิลดันโดยแพ้ให้กับ แซม แควร์รี่ย์ จากสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะตกรอบแรกในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 โดยแพ้ให้กับ ฆวน มาร์ติน เดลปอร์โต ไปอีกครั้งในรายการนี้ ต่อมาจอกอวิชแพ้ให้กับสแตน สารินก้า คู่แข่งคนสำคัญในรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมอีกครั้ง ในรอบชิงชนะเลิศยูเอสโอเพน และ ทำได้เพียงคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศในรายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล โดยแพ้ให้กับแอนดี มารืรีย์ ในรอบชิงชนะเลิศ เขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 2 ของโลก โดยมีมาร์รีย์ครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในอาชีพ ในช่วงจบฤดูกาล บอริส เบกเคอร์ ได้ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนให้แก่จอกอวิช[58]

ปี 2017: ปีแห่งการบาดเจ็บ

ในปี 2017 ถือเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุดของจอกอวิช เนื่องจากเขาต้องประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บบริเวณข้อศอกขวารบกวนตลอดทั้งปี[59] และ ไม่สามารถคว้าแชมป์รายการสำคัญในปีนี้ได้เลย ในเดือนพฤษภาคม อานเดร แอกัสซี ตำนานผู้เล่นชาวอเมริกันได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนคนใหม่ให้แก่จอกอวิช เขาถอนตัวจากการแข่งขันวิมเบิลดันในรอบ 8 คนสุดท้ายในขณะแข่งขันกับ โทมัส เบอร์ดิช เนื่องจากอาการบาดเจ็บในช่วงต้นเซ็ตที่ 2 ซึ่งเขากล่าวว่าอาการบาดเจ็บข้อศอกขวานี้ได้รบกวนเขามาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม จอกอวิชได้ประกาศยุติการแข่งขันในทุกรายการเหลือของฤดูกาลนี้เพื่อพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ[60]

ปี 2018: การกลับมาทวงความยิ่งใหญ่

ภายหลังจากตกรอบที่ 4 ในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพน จอกอวิชได้ประกาศว่าเขาจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและจะต้องพักรักษาตัวประมาณสองเดือน[61] เขากลับมาลงแข่งขันอีกครั้งในดือนมีนาคม ในรายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ที่สำคัญสองรายการได้แก่ อินเดียน เวลส์ และ ไมอามี แต่ก็ต้องตกรอบไปทั้งสองรายการ และ ก็ยังคงไม่สามารถกลับมาเรียกฟอร์มเก่งได้ในฤดูกาลคอร์ตดินโดยตกรอบทุกรายการรวมทั้งการแข่งขันแกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพน

จอกอวิชกลับมาสู่เส้นทางแห่งความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในการแข่งขันวิมเบิลดัน โดยแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงมือวางอันดับ 12 ของรายการแต่เขาสามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดยเอาชนะ นาดัล ได้ในรอบรองชนะเลิศซึ่งต้องใช้เวลาแข่งขันกันถึงสองวัน และ เอาชนะไปได้ในการแข่งขันมาราธอน 5 เซ็ต ก่อนที่จะเอาชนะ เควิน แอนเดอร์สัน จากแอฟริกาใต้ไปได้ 3 เซ็ตรวดในรอบชิงชนะเลิศ เป็นการคว้าแชมป์วิมเบิลดันได้เป็นสมัยที่ 4[62] และ คว้าแชมป์แกรนด๋สแลมรายการที่ 13 ในอาชีพ จอกอวิชกลับเข้าสู่ 10 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี

จอกอวิชยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องหลังจากคว้าแชมป์วิมเบิลดัน โดยแม้ว่าเขาจะตกรอบในรายการแคนาเดียน โอเพน ที่ประเทศแคนาดา เขาสามารถคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ในการแข่งขันที่ซินซินแนติได้เป็นครั้งแรกในอาชีพโดยเอาชนะเฟเดอเรอร์ได้ในรอบชิงชนะเลิศ จากชัยชนะดังกล่าว ส่งผลให้จอกอวิชเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ชนะเลิศรายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้ครบทั้ง 9 รายการ จอกอวิชประสบความสำเร็จในการแข่งขันยูเอสโอเพนแกรนด์สแลมสุดท้ายประจำปี ในฐานะมือวางอันดับ 6 ของโลก เขาสามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยที่ 3 โดยเอาชนะ ฆวน มาร์ติน เดล ปอร์โต คู่แข่งคนสำคัญไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ 3 เซ็ตรวด และ เขาสามารถคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ในรายการที่เซี่ยงไฮ้ได้เป็นสมัยที่ 4 ในอาชีพในเดือนต่อมา และ จอกอวิชกลับขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบสองปี ภายหลังจากที่นาดัลประกาศถอนตัวจากการแข่งขันรายการมาสเตอร์ที่กรุงปารีส ถึงแม้จอกอวิชจะทำได้เพียงตำแหน่งรองชนะเลิศในการแข่งขัน เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล แต่เขาก็สามารถจบฤดูกาลด้วยการครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกได้สำเร็จ[63]

จอกอวิชฉลองแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 14 ในชีวิต ทำสถิติเทียบเท่า พีต แซมพราส ภายหลังจากคว้าแชมป์ยูเอสโอเพนปี 2018

ปี 2019: แชมป์ออสเตรเลียนโอเพนสมัยที่ 7 และ แชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 5

จอกอวิชตกรอบรองชนะเลิศในการแข่งขันรายการแรกของปีในการแข่งขันเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 500 โดฮา ก่อนจะประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้เป็นสมัยที่ 7 และ เป็นแชมป์แกรนด์สแลมสมัยที่ 15 ของจอกอวิชทำสถิติแซง พีต แซมพราส ได้สำเร็จ เขาคว้าแชมป์รายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 รายการที่ 33 ซึ่งเป็นสถิติมากที่สุดเท่ากับนาดัลในขณะนั้นจากการคว้าแชมป์ในรายการที่มาดริด ก่อนจะตกรอบ 8 คนสุดท้ายในการแข่งขันเฟรนช์โอเพน โดยแพ้ใก้กับโดมินิค ธีม จากออสเตรีย ในการแข่งขันมาราธอน 5 เซ็ต จอกอวิชประสบความสำเร็จในการป้องกันแชมป์วิมเบิลดันโดยเอาชนะเฟเดอเรอร์ในการแข่งขัน 5 เซ็ต ใช้เวลาไปถึง 5 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการแข่งขันครั้งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์รอบชิงชนะเลิศของรายการ โดยจอกอวิชสามารถเอาชนะไปได้ 3-2 เซต โดยเขาได้เอาตัวรอดจากการเสียเปรียบถึง 2 แชมป์เปียนชิพพอยต์ในเซตตัดสินก่อนจะพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะได้ในที่สุด ก่อนที่เขาจะตกรอบที่ 4 ในการแข่งขันยูเอสโอเพน โดยถอนตัวจากการแข่งขันเนื่องจากอาการบาดเจ็บในนัดที่พบกับสแตน วารินก้า จอกอวิชปิดท้ายฤดูดาลด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่มในการแข่งขัน เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล โดยแพ้ให้กับธีมและเฟเดอเรอร์ในสองนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งถือเป็นการแพ้ให้กับเฟเดอเรอร์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2015[64]

ปี 2020: แชมป์ออสเตรเลียนสมัยที่ 8

จอกอวิชทำสถิติคว้าแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนสมัยที่ 8 ได้ สำเร็จ โดยเอาชนะโดมินิค ธีม ในรอบชิงชนะเลิศ ทั้งที่เขาตกเป็นฝ่ายตามหลัง 1-2 เซ็ต และ นี่ถือเป็นถ้วยแกรนด์สแลมรายการที่ 17 ในอาชีพของจอกอวิช ก่อนที่จะคว้าแชมป์รายการเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 500 ที่ดูไบได้เป็นสมัยที่ 5 ในอาชีพในเดือนกุมภาพันธ์ ในเดือนมิถุนายนเขาถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เขาได้รับการวิจารณ์อย่างหนักในฐานะที่เป็นผู้จัดการแข่งขันรายการพิเศษที่ บอลข่าน และ มีผู้เล่นที่เข้าร่วมการแข่งขันติดเชื้อโควิดหลายราย ต่อมาจอกอวิชได้ออกมาแถลงขอโทษอย่างเป็นทางการ[65][66]

เขาทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ชนะเลิศรายการ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ครบทุกรายการได้อย่างน้อย 2 สมัยในแต่ละรายการ โดยเอาชนะ มิลอช ราวนิช ในรอบชิงชนะเลิศรายการซินซินแนติ ต่อมาจอกอวิชถูกปรับแพ้ในการแข่งขันรอบที่ 4 รายการยูเอสโอเพน เนื่องจากเขาตีลูกบอลไปโดนตัวของผู้กำกับเส้นหญิงโดยไม่ตั้งใจ ในเดือนธันวาคม จอกอวิชทำสถิติครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกครบ 300 สัปดาห์

ปี 2021: ทำสถิติการครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 มากที่สุดตลอดกาล

จอกอวิชป้องกันแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้สำเร็จและทำสถิติคว้าแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนได้มากที่สุดตลอดกาลจำนวน 9 สมัย ได้สำเร็จในเดือนมกราคม และ เป็นการคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 18 เป็นรองเพียงเฟเดอเรอร์และนาดัลที่ทำไว้จำนวน 20 รายการ ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม จอกอวิชทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ครองตำแหน่งมือวางอันดับหนึ่งของโลกด้วยจำนวนสัปดาห์รวมที่มากที่สุดตลอดกาลแซงหน้าเฟเดอเรอร์ได้สำเร็จ[67]

แหล่งที่มา

WikiPedia: นอวาก จอกอวิช http://www.atptour.com/en/news/djokovic-2011-2015-... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-2014-champ... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-311-weeks-... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-becker-spl... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-elbow-us-s... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-nadal-aust... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-president-... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-raonic-ws-... http://www.atptour.com/en/news/djokovic-returns-to... http://www.atptour.com/en/news/federer-djokovic-wi...